วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การวิจัย

การวิจัย หมายถึง การกระทำของมนุษย์เพื่อค้นหาความจริงในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กระทำด้วยพื้นฐานของปัญญา ความมุ่งหมายหลักในการทำวิจัย ได้แก่ การค้นพบ, การแปลความหมาย,และ การพัฒนากรรมวิธีและระบบสู่ความก้าวหน้าในความรู้ด้านต่างๆ ในเชิงวิทยาศาสตร์ที่หลากหลายในโลก การวิจัย อาจต้องใช้หรือไม่ต้องใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ก็ได้ การวิจัยตามระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ที่ได้แรงผลักดัน การวิจัยเป็นตัวสร้างข้อมูลข่าวสารเชิงวิทยาศาสตร์และที่มนุษย์นำมาใช้ในการอธิบายคุณสมบัติของสรรพสิ่งต่างๆ รอบตัวเรา การวิจัยช่วยให้การประยุกต์ทฤษฎีต่างๆ มีความเป็นไปได้ในเชิงปฏิบัติ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์จำแนกได้เป็นประเภทตามสาขาวิทยาการและวิชาเฉพาะทาง นอกจากนี้คำว่าการวิจัยยังใช้หมายถึง การเก็บ รวบรวมข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับวิชาการบางสาขาอีกด้วย วัตถุประสงค์หลักของการวิจัยขั้นพื้นฐานคือ การสร้างความก้าวหน้าในความรู้ และความเข้าใจเชิงทฤษฎีของสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างตัวแปรต่างๆ ด้วยการบุกเบิกที่เกิดจากการผลักดันของความอยากรู้อยากเห็น, ความสนใจ และตัวผู้วิจัยเอง เป็นการดำเนินการที่ยังไม่มีการคำนึงถึงการนำไปใช้ประโยชน์ไว้ล่วงหน้าแม้ว่าในระหว่างการวิจัยจะมีการนำผลไปประยุกต์ เชิงปฏิบัติได้ก็ตาม คำว่า พื้นฐานเป็นการบ่งชี้ว่าการวิจัยขั้นพื้นฐานเป็นการวางรากฐานให้เกิดการก้าวไปข้างหน้า ด้วยการสร้างทฤษฎีที่บางครั้งอาจนำไปประยุกต์ในเชิงปฏิบัติได้ เนื่องจากการที่ไม่อาจประกันได้ว่าการวิจัยจะมีประโยชน์เชิงปฏิบัติได้ในระยะสั้นได้นี้เองที่ทำให้การวิจัยขั้นพื้นฐานทำได้ยากกว่าการวิจัยแบบอื่น ดังนั้น การวิจัยจึงเป็นกระบวนการแสวงหาหรือพัฒนาความรู้อย่างมีระบบแบบแผน โดยมีวิธีการที่เชื่อถือและเป็นระบบ

ขั้นตอนการวิจัย วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) เป็นระเบียบวิธีที่ใช้การดำเนินการวิจัยในปัจจุบันมีขั้นตอน ดังนี้ 1. การกำหนดและให้ความหมายและปัญหาของการวิจัย 2. การสร้างสมมติฐานในวิจัย 3. การคิดและกำหนดแผนการดำเนินการวิจัย 4. การดำเนินการตามแผน 5. การสรุปผล

วิธีการดำเนินการวิจัยโดยทั่วไป มี 3 ขั้นตอน 1. การวางแผนการดำเนินการวิจัย (Designing the research plan) งานวิจัยในปัจจุบันผู้ที่วางแผนที่ดีต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ทั้งเนื้อหาและวิธีดำเนินการวิจัยเป็นพื้นฐานและความสามารถในการวิเคราะห์และคิดแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ และมีการวางรูปแบบการวิจัย (Design a study) โดยมีเป้าหมายที่สำคัญเพื่อหาคำตอบให้กับปัญหาการวิจัยที่ระบุไว้ได้ การกำหนดแผนงานจะมีคุณภาพเหมาะสมมีองค์ประกอบเป็นรากฐานที่สำคัญ เช่น ความรู้ความเข้าใจในทฤษฎี แนวคิด และเนื้อหาในเรื่องที่ทำวิจัย, ระเบียบวิธีวิทยาในการวิจัย และความสามารถในการคิดแก้ปัญหา เป็นต้น 2. ขั้นดำเนินงานตามแผน การดำเนินงานตามขั้นตอนการวางแผนครอบคลุมตั้งแต่การสร้างเครื่องมือ การทดสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย การกำหนดประชากร การสุ่มตัวอย่าง การเก็บรวบรวมข้อมูลจริงตามแผนการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูล แปลความหมายและสรุปผลการวิจัย 3. ขั้นการนำเสนอผลการวิจัย มีรูปแบบการรายงานเฉพาะตัว อาจมีโครงสร้างแตกต่างกันบ้าง แต่ลักษณะของการรายงานผลคล้ายคลึงกัน มีส่วนสำคัญ ได้แก่ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย วัตถุประสงค์ สมมติฐานการวิจัย ขอบเขตการวิจัย เอกสารและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิธีการดำเนินการวิจัย การสร้างเครื่องมือ การเก็บรวบรวมข้อมูล สรุปผลการวิจัย อภิปรายและข้อเสนอแนะ

การจำแนกประเภทของการวิจัย เป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงหรือพัฒนาองค์ความรู้ อันนำไปสู่การทำนายหรือควบคุมเหตุการณ์ต่าง ๆ นั้นได้ เบสท์ (Best, 1959) กล่าวถึงการวิจัย เป็นกระบวนการที่มีแบบแผนในการพัฒนาองค์ความรู้ โดยได้จำแนกการวิจัยออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. การวิจัยพื้นฐาน หรือ การวิจัยบริสุทธิ์ (Fundameatal or Pure Research) เป็นการพัฒนาทฤษฎีหรือ องค์ความรู้ การวิจัยประเภทนี้ต้องแสวงหาหลักเกณฑ์สากลโดยไม่ได้คิดถึงประโยชน์ในเชิงใช้สอยได้ทันทีของงานวิจัย 2. การวิจัยประยุกต์ (Applied Research) มีจุดมุ่งหมายในการพัฒนากระบวนการหรือผลผลิต หรือทดสอบแนวคิด หลักการณ์ หรือทฤษฎี ผลการวิจัยจึงนำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ 3. การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Resarch) เป็นการวิจัยที่มุ่งผลการนำไปใช้ได้ทันที

จากนั้นเบสท์ยังได้เสนอแนวทางการจัดประเภทการวิจัยทางการศึกษา โดยพิจารณาระเบียบวิธีการวิจัย จำแนกได้ 3 ประเภท ดังนี้ 1 การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (Historical Research) เป็นการวิจัยที่ใช้กระบวนการรวบรวมข้อมูลแบบสืบสวนสอบสวน วิเคราะห์ข้อมูลจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว เพื่อหาข้อค้นพบที่มีนัยทั่วไปสำหรับเหตุการณ์ต่าง ๆ 2. การวิจัยเชิงบรรยาย (Descriptive Research) เป็นการวิจัยที่มุ่งบรรยายลักษณะเงื่อนไข สภาพที่เป็นจริงในปัจจุบัน ที่เปรียบเทียบความเหมือนหรือแตกต่างของสิ่งต่าง ๆ ที่วิเคราะห์ 3. การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) เป็นการวิจัยความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ระหว่างตัวแปรในสภาพการณ์ที่ถูกควบคุมหรือจัดกระทำจากการทดลอง

เคอร์ลิงเจอร์ (Kerlinger, 1964) แบ่งการวิจัยออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. การวิจัยแบบสำรวจ (Survey Research) เป็นการมุ่งการศึกษาลักษณะของประชากรที่สุ่มได้เป็นกลุ่มตัวอย่าง สิ่งที่สนใจศึกษาอาจเป็นข้อเท็จจริง หรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2. การวิจัยแบบสืบย้อน (Ex Post Facto Research) เป็นการวิจัยที่ตัวแปรอิสระที่ได้ศึกษาก่อนหน้า ผู้วิจัย จึงได้ย้อนหลังถึงความสัมพันธ์ หรือผลที่เป็นไปได้ของตัวแปรอิสระที่มีต่อตัวแปรตาม ผู้วิจัยไม่สามารถจัดกระทำตัวแปรหรือสิ่งที่คิดว่าจะเป็นเหตุ แต่สังเกตจากตัวแปรตามหรือผลที่เกิดขึ้น และสืบย้อนกลับไปหาสิ่งที่เป็นเหตุหรือตัวแปรอิสระ 3. การวิจัยแบบทดลอง ( Experimental Research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยได้จัดสภาพการณ์ตามแผนการวิจัย ซึ่งมีการสุ่ม เพื่อคุมตัวแปรแทรกซ้อน และจัดกระทำตัวแปรอิสระเพื่อสังเกตผลที่เกิดขึ้น โอกาสในการสรุปตัวแปรอิสระที่มีต่อตัวแปรตาม จึงมีความเป็นไปได้ดีกว่าการวิจัยแบบสืบย้อน

อภิปรัชญา (Metaphysics)หมายถึง ปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับการหาความจริงสูงสุดที่เกี่ยวกับโลกและเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยความแท้จริงหรือสารัตถะ (Reality Essence)แก่นแท้ของสรรพสิ่งคือ สิ่งใด และทำไมสิ่งนี้ถึงเป็นแก่นแท้ของสรรพสิ่งความจริงที่สูงสุด ที่สิ่งที่สรรพสิ่งทั้งหลายจะได้เผชิญ เมื่อดับสลายและก่อนที่จะเกิดขึ้นใหม่ อภิปรัชญาเป็นปรัชญาบริสุทธิ์สาขาแรกที่เกิดขึ้นมาในโลกเกิด จากความสงสัยของมนุษย์สมัยโบราณ ที่มีต่อปรากฏการณ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และจากความอยากรู้ของมนุษย์ทำให้มนุษย์ต้องสืบหาสาเหตุของความเป็นจริงเหล่านั้นซึ่งคำตอบ ในที่สุดก็ได้คำตอบที่ถูกต้อง จากคำตอบที่ถูกต้องนี้แหละคือความรู้ทางอภิปรัชญา แม้จะแยกย่อยเป็นจำนวนมากแต่อยู่ในขอบเขตของสาขาใหญ่ๆ 3 สาขาของอภิปรัชญา คือ สสารนิยม จิตนิยม และธรรมชาตินิยม นอกจากอภิปรัชญา 3 สาขาใหญ่แล้ว ยังมีภววิทยาซึ่งเป็นสาขาที่สำคัญของอภิปรัชญา ซึ่งในศาสตร์ของภววิทยานี้ได้แยกออกเป็น 3 ทฤษฎี คือ เอกนิยม ทวินิยม และพหุนิยม อภิปรัชญาถือว่าเป็นหลักของโครงสร้างของวิชาปรัชญา ถ้าขาดอภิปรัชญาเสียแล้ว ปรัชญาก็มีไม่ได้ ดังนั้นในการนำเอาปรัชญาไปประยุกต์ใช้จำเป็นต้องยึดโครงสร้างอภิปรัชญาเป็นหลักสำคัญ


ญาณวิทยา หมายถึง ทฤษฎีความรู้(Theory of Knowledge) ซึ่งอธิบายถึงปัญหาเกี่ยวกับ ที่มาของความรู้แหล่งเกิดของความรู้ ธรรมชาติของความรู้และเหตุแห่งความรู้ที่แท้จริง ทฤษฎีที่ว่าด้วยเรื่องความรู้เกิดจากสิ่งใดจากการมองเห็น สัมผัส ชิม ฟัง และคิด ซึ่งเป็นความรู้ในเชิงสงสัยและความรู้ในเชิงสงสัยนี้ทำให้เกิดความรู้ในเชิง ค้นหาคำตอบว่าความรู้ที่เราสงสัยนั้นถูกหรือผิด และในที่สุดความรู้ที่ได้จากการค้นหาคำตอบอาจจะเป็นความรู้ที่ถูกหรือผิดก็ได้ เพราะความรู้ที่ผิดอาจทำให้เราได้พบความรู้ที่ ถูกหรือนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดความรู้ที่ถูก หรือ อาจเป็นความรู้ที่ถูกที่ทำให้เกิดความรู้ที่ผิดหรือนำไปประยุกต์ใช้ทำให้ ความรู้ที่ถูกอยู่แล้วอาจเป็นความรู้ที่ผิด ไม่ว่า จะเป็นความรู้ที่ถูกหรือผิด ญาณวิทยาเป็นเรื่องที่ศึกษาถึงลักษณะเด่นของความเป็นมนุษย์เหนือกว่าสัตว์โลกประเภทอื่นก็คือ รู้จักคิด ทำให้มนุษย์มีความรู้ มีสติปัญญาที่ล้ำเลิศ จนสามารถพัฒนาตัวเองให้ก้าวรุดหน้าไปไกลกว่าในทุก ๆ ด้าน ญาณวิทยาจึงเป็นปรัชญาบริสุทธิ์อีกสาขาหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการสืบค้นหาความจริงทำการศึกษาวิเคราะห์เรื่องราวของความรู้อย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น